วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

    ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต




การทำงานของระบบNองเครือข่ายคอมพิวเตอร์etwork และ  Internet
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.เครือข่ายเฉพาะที่()
 เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นในองค์กรโดยส่วนใหญ่ลักฟษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวงLAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกัน เช่น อยู่ภายในอาคาร หรือ หน่วยงานเดียวกัน
2.เครือข่ายเมือง(Metropolitan Area Network: MAN)
 เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงจรที่ใหญ่ขึ้น ภายในบริเวรพื้นที่ใกล้เคียงกันเช่น ในเมืองเดียวกัน เป็นต้น
3.เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network: WAN)
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นในอีกระดับหนึ่ง โดยเป็นการรวมเครือข่าย LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียว ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอบคุมไปทั่วประเทศซ หรือทั่วโลก เช่น อินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะ ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ


รูปแบบโคนงสร้างเครือข่าย(Network Topology)
การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสรางของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึง
หลักการไหลเวียนของข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบงโครงสร้างเคือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ


            


















 1. แบบดาว     เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆมาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง กสรติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง  การทำงานของกน่วยสลับสายกลาง

ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบดาว
เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลาง หรือฮับเป้นเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนญ์ควบคุมเส้นทางการนื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้สถานีกลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให                  กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบดาวจะเป?นแบบ 2 ทิศทางโดยจะมีอนุญาติให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาศที่หลายๆโหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันการชนของสัญญาณข้อมูลเครือข่ายแบบดาว เป็นรูปแบบเครือข่ายหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กานในปัจจุบัน          

การเชื่อมต่อแบบวงแหวน (RING TOPOLOGY) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นรูปวงแหวนหรือแบบวนรอบ โดยสถานีแรก เชื่อมต่อกับสถานีสุดท้าย การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายจะต้องผ่านทุกสถานี โดยมีตัวนำข่าวสาร วิ่งไปบนสายสัญญาณ ของแต่ละสถานี ต้องคอยตรวจสอบข้อมูลที่ส่งมา ถ้าไม่ใช่ของตนเอง ต้องส่งผ่านไปยังสถานีอื่นต่อไป ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อของ IBM Token Ring ที่ต้องมีตัวนำข่าวสาร หรือ Token นำข่าวสารวิ่งวนไปรอบสายสัญญาณหรือ Ring แต่ละสถานีจะคอยตรวจสอบ Token ว่าข่าวสารที่นำมาด้วยเป็นของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข่าวสารนั้นไว้ แล้วส่ง Token ให้สถานีอื่นใช้ต่อไปได้
ข้อดี ของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ ใช้สายส่งสัญญาณน้อยกว่าแบบดาว เหมาะกับการเชื่อมต่อ ด้วยสายสัญญาณใยแก้วนำแสง เพราะส่งข้อมูลทางเดียวด้วยความเร็วสูง

ข้อเสีย คือถ้าสถานีใดเสีย ระบบก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ จนกว่าจะแก้ไขจุดเสียนั้น และยากในการตรวจสอบว่ามีปัญหาที่จุดใด และถ้าต้องการเพิ่มสถานีเข้าไป จะกระทำได้ยาก

ซอฟต์แวร์ประยุกต์  (applicafion  software)


2.2  ซอฟต์แวร์ประยุกต์  (applicafion  software)
    ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์  เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น  การจัดพิมพ์รายงาน  กานนำเสนองาน  การจัดทำบัญชี  การตกแต่งภาพ  หรือการออกแบบเว็บไซต์  เป็นต้น


      ประเภทของ ซอฟต์แวร์ประยุกต์  (applicafion  software)

แบ่งตามลักษณะการผลิต  จำแนกได้  2  ประเภท  คือ

1.ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ   (proprietary  software)

2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป  (customized  package) และโปรแกรมมาตรฐาน  (standard  package)
  ประเภทของ ซอฟต์แวร์ประยุกต์  (applicafion  software)

แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน  จำแนกได้เป้น  3  กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ  (business)
2.กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย  (graphic  and  multimedia )
3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บ  (web  and communications)
กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
                        ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
    โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
    โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop
    โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV              
    โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director
    โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
       กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
            โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ
            โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
            การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะ
เข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
 เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบการที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
      เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
     การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันทีแต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)
      เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์ 
      แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)
       เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ คอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
   คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
   อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรี เตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง

ซอฟต์แวร์  (software)


   ซอฟต์แวร์ หมายถึง  การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะนำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร  เป้นชุดโปรแกรมหลายๆดปรแกรมให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ  เราไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้างได้  จัดเก็บ  และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น  แผ่น  บันทึก  แผ่นซีดี  แฟล็ชไดร์ฟ  ฮาร์ดดิสก์  เป็นต้น


หน้าที่ของซอฟต์แวร์


  ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย  ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท

ประเภทของซอฟต์แวร์


ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น  3  ประเภทใหญ่ๆ คือ   ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)
ซอฟต์แวร์ประยุกย์  (appication  software)  และ  ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ



1.ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)
 
ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)  เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการระบบ  หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวรืระบบ  คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์  เช่น  รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ  นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์  จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำสำรอง


   ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)  หรือโปรแกรมที่รู้จักกันดีคือ  Dos, windows, unix, linux  รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง  เช่า  ภาษา  basic, fortran, pascal, coboi, c  เป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น  norton's  uilities  ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน


หน้าที่ของซอฟแวร์ระบบ  (system  software)

1.ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น  รับรู้การกดแป้นพิมพ์ต่างๆบนแผงแป้นอักขระ  ส่งรหัสตัวอัการออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่ออุปกรณ์รับเข้าแล้วส่งออกอื่นๆเช่น  เมาส์  ลำโพง เป็นต้น

2.ใชในการจัดการหน่วยความจำเพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก  หรือในทำนองกลับกัน  คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก

3. ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์  เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น  เช่น  การขอดูรายการในสาระบบ  (directory)  ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล

      ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐาน ที่เห็นทั่วไป  แบ่งออกเป็น  ระบบปฏิบัติการและตัวแปลภาษา


ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งเป็น  2  ประเภทคือ

1.ระบบปฏิบัติการ   (operratting  system ; os)

2.ตัวแปลภาษา


1.ระบบปฏิบัติการ   (operratting  system ; os) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้มนการดูแลระบบคอมพิวเตอร์  เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้  ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักดีเช่น  ดอส  วินโดว์  ยูนิกส์  ลีนุกซ์  และแมคอินทอช  เป็นต้น

   1.1  ดอส  (disk  operrating  system ; dos)   เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว  การใช้งานจึงใช้คำสั่ง  ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต  ปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก
  
   1.2 วินโดว์  (windows)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส  โดยให้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นพิมพ์อักขระเพียงอย่างเดียว  นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ยังสามรถทำงานหลายงานพร้อมกันได้  ดดยแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ   การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก  ผู้ใช้สามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ  ทำให้คอมพิวเตอร์ได้ง่าย  ระบบปฏิบัติการวินโดว์ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน


    1.3 ยูนิกส์  (unix)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์  ระบบปฏิบัติการยูนิกส์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด  (open  system)   ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน  ยูนิกส์ยังถูกออกบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า  ระบบหลายผู้ใช้  (muitiusers)  ระบบปฏิบัติการยูนิกส์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆเครื่องพร้อมกัน

   1.4  ลีนุกซ์  (linux)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกส์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่าย
โปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกส์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน  เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว  (gnu)  และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือระบบของลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี  (free ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

     ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์สามารถทำงานได้บน ซีพียู  หลายตระกูล เช่น  อินเทล  (pc  intel)            ดิจิตอล  (digital  alpha  computer)   และ ซันสปาร์ค  (sun sparc)  ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดว์บนพีซีได้หมดก็ตาม  แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใว้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น


  1.5  แมคอินทอช  (macintosh)   เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  แมคอินทอช  ส่วนมาก  นำไปใช้งานด้านกราฟิก  ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร  นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ  นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมากมาย  เช่น  ระบบปฎิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์  เพื่อให้คอมพิวเตอร์  ทำงานร่วมกันเป็นระบบ  เช่น  ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์  นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ  ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา


ชนิดของระบบปฏิบัติการ  จำแนกตามการใช้งานสามมารถจำแนกได้เป็น  3  ชนิด  ด้วยกันคือ

1.ประเภทใช้งานเดียว ( single-tasking )  ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น  ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์  เช่น ระบบปฏิบัติการดอส      เป็นต้น
 2. ประเภทใช้หลายงาน   (multi- taking)  ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน  ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน  เช่น  ระบบปฏิบัติการ  windows 98  ขึ้นไป และ  unix  เป็นต้น

3.ประเภทใช้งานหลายคน   (multi user)  ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล  ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งที่มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน  แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์  จึงต้องใรบบปฎิบัติการที่มีความสามารถสูง  เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา  เช่น  ระบบปฏิบัติการ  windows nt  และ  unix  เป็นต้น




2.ตัวแปลภาษา

การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาเครือง

ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย  เข้าใจได้  และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้
ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา
ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่  basic,pascal,c  และภาษาโลก  เป็นต้น
นอกจากนี้  ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่  fortran,cobol,และภาษาอาร์พีจี

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์  หมายถึง เครื่องมือสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง  ชุดคำสั่ง  หรือโปรแกรมต่างๆ  สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ   ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประเภทผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข  รูปภาพ  ตัวอักษร และเสียง

ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์  หมายถึง  สjวนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์  แบ่งออกเป็น 5  ส่วนคือ


ส่วนที่1  หน่วยรับข้อมูลเข้า   (Input  Unit)
       เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ  ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ  เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ  ได้แก่
-แป้นอักขระ  (Keyboard)
-แผ่นซีดี  (CD-Rom)
-ไมโครโฟน  (Micophon)  เป็นต้น


ส่วนที่2  หน่วยประมวลผลกลาง (Central  Processing  Unit)
      ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์     รวมถึงการประมวลผลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ


ส่วนที่3  หน่วยความจำ  (Memory   Unit)
         ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง   และการเก็บผลลัพธ์ทีได้จากการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล


ส่วนที่4หน้วยแสดงผล (Output  Unit)
         ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล  หรือผ่านการคำนวณแล้ว


ส่วนที่5  อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ (Peripheral  Equipment)
         เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้นเช่น  โมเด็มม  แผงวงจรเชื่อมต่อเครื่อข่าย (Modem)  เป็นต้น


ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
1.มีความเร็วในการทำงานสูง  สามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างรวดเร็วเพียงชั่ววินาที  จึงใช้งานในการคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
2.มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง  ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง  ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3.มีความถูกต้องแม่นยำ  ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.เก็บข้อมูลได้มาก    ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5.สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้อย่างรวดเร็วช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน


ระบบคอมพิวเตอร์
     หมายถึง  กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด  เช่น  ระบบเสียภาษี  ระบบทะเบียนราษฎร์  ระบบทะเบียนการค้า  ระบบเวช  ระเบียนของโรงพยาบาล  เป็นต้น
การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
        ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ  4ส่วน  ดังนี้

1.ฮาร์ดแวร์  หรือส่วนเครื่อง
2.ซอฟแวร์   (software)
3.ข้อมูล  (Date)
5.บุคคลากร  (Deopleware)


ฮาร์ดแวร์  (Hardware)
หมายถึง  ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้   ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4  ส่วน  ดังนี้ คือ
1.ส่วนประมวลผล  (Processor)
2.ส่วนความจำ (Memory)
3.อุปกร์รับเข้าและส่งออก (Input-Output Devices)
4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล  (Starage  Device)


ส่วนที่1  CPU
     CPU  เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง
มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์   ประมวลผลและเปรัยบเทียบข้อมูลโดยทำการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้  ความสามารถของ  CPU  นั้นพิจารณาจากความเร็วของการทำงาน  การรับส่งข้อมูล   อ่านและเขียนข้อมูลจากหน่วยความจำ   ความเร็วของ ซีพียู  ขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า  สัญญาณนาฬิกาเป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1  วินาที   มีหน่วยเป็น  เฮิร์ต (Hertz)  เช่น  สัญญาณความเร็ว 1 ล้าน รอบใน1วินาที  เทียบเท่าความเร็วสัญญาณนาฬิกา 1 จิกะเฮิร์ต  (1GHz)

ส่วนที่2  หน่วยความจำ (Memory)
จำแนกออกเป็น 2  ประเภท  ดังนี้
1.หน่วยความจำหลัก  (Main Memory )
2.หน่วยความจำสำรอง  ()

1.หน่วยความจำหลัก (Main Memory )
       เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง   ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลผลภายหลังโดย  ซีพียู  ทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและออกจากหน่วยความจำ
    การทำงานของคอมพิวเตอร์   ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผลและเก็บข้อมูล  ขนาดความจุของหน่วยความจำ  คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล  จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูล  และขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุด  พื้นที่หน่วยความจำมีมากจะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น

หน่วยประมวลผลกลาง  (CPU)
  หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU   มีความหมาย
ทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่าง คือ
1. ชิป (chip ) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
2.ตัวกลองเครื่องที่มี  CPU บรรจุอยู่


1.หน่วยความจำหลัก
       แบ่งได้2 ประเภทคือ  หน่วยความจำแบบ  แรม  RAM และหน่วยความจำแบบรอม  ROM
1.1 หน่วยความจำความจำแบบแรม ()
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล  ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน  ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง  หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนให้กับเครื่อง  เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า  หน่วยความจำแบบลบเลือนได้

ลักษณะของหน่วยความจำแรม

1.2หน่วยความจำแบบ " รอม "
          เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้มูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร  ยอมให้  CPU อ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานได้อย่างเดียวไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย   ส่วนใหญ่ใช้เก็บโปรแกรมควบคุม  เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ได้ว่า  หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน

ชิปหน่วยความจำแบบรอม (ROM  Chip)


หน่วยความจำสำรอง  (Secondary Memory Unit )
        หน่วยเก็บความจำสำรอง  หรือหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง  เป็นหน่วยเก็บที่สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลัก  คือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรืสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บข้อมูล  โปรแกรมไว้อย่างถาวร
3.ใช้ในการเป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง


ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง
หน่วยความจำสำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล  เมื่อเรียบร้อยแล้ว  ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม  หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า  อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง  เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้ในงานครั้งต่อไป  หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก  เช่น  ฮาร์ดดิสก์  แผ่นบันทึก  ชิปดิสก์  ซีดีรอม  ดีวีดี  เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำแฟลช  หน่วยความจำสำรองนี้ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ


ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนแสดงผลข้อมูล  คือหน่วยที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมาลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้  อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่  จอภาพ (Moniter) ,(Screen )เครื่องพิมพ์ (Printer) เครื่องพิมพ์ภาพ ( Ploter) และลำพง  (Spraker)  เป็นต้น


บุคคลากรทางคอมพิวเตอร์   ( peopleware)
บุคคลากรทางคอมพิวเตอร์  หมายถึง  คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้     คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นอาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว  หรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์

 ประเภทของบุคคลากรทางคอมพิวเตอร์  (peopleware)
1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ

บุคคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1.หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ EDP Manager
2.หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน  System  analyst  หรือ SA
3.โปรแกรมเมอร์
4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
5.พนักงานจัดเตรียมข้อมูล

-นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิม  ออกแบบระบบงานใหม่
-โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบมาไว้สร้างเป็นโปรแกรม
-วิศวกรระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ  สร้าง  ซ่อมบำรุง  และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตาม-ต้องการ
-พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่  หรือภารกิจประจำวัน  ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์

อาจแบ่งผู้ใช้คอมพิวเตอร์ได้เป็น 4 ระดับ
1.ผู้จัดการระบบ
คือผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
2.นักวิเคราะห์ระบบ
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม  ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน  เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
3.โปรแกรมเมอร์
คือผู้เขียนโรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้  โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้
4.ผู้ใช้
คือผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป  ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง  และวิธีการใช้งานโปรแกรม  เพื่อให้โปรมแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ